เขตเมืองเก่าของอิสตันบูล อยู่ในแผ่นดินฝั่งยุโรป โดยส่วนล่างติดกับทะเล มามาร่า (Sea of Marmara) ส่วนบนจะมี Golden Horn เป็นที่แบ่งเขตเมืองเก่าและเมืองใหม่
เช้านี้เราเริ่มเที่ยวที่ Topkapi Palace สร้างในสมัยสุลต่านเมห์เมตที่ 2 หลังตีกรุง Constantinople แตก พิชิตอาณาจักรไปเซนไทม์ พระราชวังนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1459 เสร็จในปี ค.ศ.1465 ใช้เป็นที่พำนักของสุลต่านหลายพระองค์ยาวนานถึง 400 ปี จากทั้งหมด 625 ปี แห่งอาณาจักรออตโตมัน ก่อนย้ายพระราชวังไปที่ โดลมาบาเช่ (Dolmabahce) พระราชวังที่เราจะไปพรุ่งนี้ก่อนขึ้นเครื่องกลับ
พระราชวังทอปกะปิเป็นที่เก็บสำบัติอันล้ำค่า เช่น เสื้อคลุมและดาบของมูฮัมมัด และมีเครื่องลายครามจากจีนอีกว่า 10,700 ชิ้นเป็นของสะสมตั้งแต่สมัยราชวงศ์ ซ่ง, หยวน, หมิง, ชิง และมีเครื่องลายครามเซรามิคศิลาดลหลงหยวน (Longquan Celadon) ซึ่งผลิตในปี ศตวรรษที่ 14 เป็นจำนวนมาก พื้นที่ของพระราชวัง ถูกขึ้นเป็นมรดกโลกแห่งองค์การยูเนสโก (UNESCO World Heritage Site) เมื่อปี 1985 พระราชวังแห่งนี้ได้ชื่อว่า เป็นพระราชวังที่ดีที่สุดในสมัยของออตโตมัน
พระราชวังแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ : พระราชวังชั้นนอก Outer Palace พระราชวังชั้นใน Inner Palace
และ Haremในอดีตมีคนอาศัยอยู่ในพระราชวังถึง 4,000 คน Harem เป็น สถานที่ส่วนตัวของสุลต่าน และเป็นสถานที่ต้องห้ามของบุคคลภายนอก และคนที่อยู่ใน Harem ก็จะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกด้วยเช่นกัน
The Imperial Harem มีสภาพเป็นเมืองที่ซับซ้อนอยู่ในเมืองอีกชั้นหนึ่ง ถ้าจะเข้าชมต้องเสียบัตรเพิ่ม ครั้งนี้ที่ไปปิดซ่อม ถึงเข้าไปดูจะได้ดูเพียงแค่ 10% (อันนี้ ลาเล่ Local Guide บอก จริงหรือเปล่า อันนี้ไม่แน่ใจ) เลยไม่ได้เข้าไปในส่วนของ ฮาเร็ม แต่ยืนถ่ายรูปตรงประตูทางเข้า ซึ่งอยู่ติดกับ Exhibiton of Arms and Armour ลาเล่ชี้ให้เราดูว่าด้านขวาซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามเป็นในส่วนของ Kitchens บริเวณกำแพงของ Kitchens จะเป็นร้านขายของที่ระลึก และมีบูธไอศรีมขาย ขอเตือนระวังไว้ ให้ถามราคาก่อนซื้อ ขนาดมีราคาติดอยู่คนขายยังหน้าด้านโกง ป๊าสั่งไป 2 โคน คนขายจะคิด 40 ดีร่า ซึ่งคือ 400 บาท เราไม่ยอม ยื่นป้ายราคาติดว่า แล้วบอกคนขายว่า ยูจะคิดแบบนี้ไม่ได้ ราคาติดไว้ 7 ดีล่า ท้ายสุดบอกเราว่าจะให้เท่าไหร่ก็ให้มา .... เพลียกับนางจริงๆ หน้าด้านมาก เลยให้ไป 20 ดีร่า ต่อ 2 โคน ซึ่งถือว่าแพงมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราคงเอาไอติมคืน
จุด High Light ของพระราชวังนี้คือ ชมมรกตใหญ่ 3 เม็ด กับ เพชร 86 กะรัต The Topkapi Dagger ในห้อง Treasury แต่เราวนหาทางเข้าห้องนี้ไม่เจอ เพิ่งมารู้จากหนังสือท่องเที่ยวว่า ได้ปิดบูรณะ และไม่อนุญาตให้เข้าชมภายในท้องพระคลัง ตั้งแต่ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ปีที่แล้ว
บางส่วนของพระราชวังตกแต่งด้วย กระเบื้องอิซนิค (IZnik Tiles) และ กระเบื้องคูตาฮ์ยา (Kutahya Tiles) งาน handmade มีสีสันและสวดลายเป็นเอกลักษณ์ของยุคออโตมัน
พระราชวังทอปกะปึ ตั้งอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์ สามารถมองเห็นช่องแคบบอสฟอรัส ทะเลมาร์มาร่า และ โกลเด้นฮอร์น เราสามารถชมวิวเห็น 2 ฝั่งทวีป ทั้งยุโรป และเอเซีย จากพระราชวัง บริเวณหลังห้องพระคลัง
เราสามารถชมวิว มอง 2 ฝั่งทวีป ทั้งยุโรป และเอเซีย เห็น 2 ฝั่งทวีป ทั้งยุโรป และเอเซีย
ออกจาก Topkapi Palace ลาเล่ พาเราเดินออกมาตามถนน ไปยัง Hippodrome
ฮิปโปโดม สร้างขึ้นสมัยที่ยังเป็นกรุงคอนสแตนติโนเปิล เพื่อเป็นสนามแข่งม้า และการแข่งขันขับรถศึกซึ่งเป็นกีฬายอดนิยมในยุคนั้น ฮิปโปโดมเป็นลานขนาดใหญ่มีอัฒจรรย์เป็นรูปตัวยูล้อมรอบ มีเสาโอเบลิสก์ (Obelisk ) อยู่ตรงกลางเพื่อแบ่งพื้นที่ของลานทั้งสองอออกเป็นสองฝั่ง และต่อมาในช่วงสงครามครูเสด ถูกทำลายจนเหลือแต่ซากปรักหักพัง จนมาถึงยุคของอาณาจักรออตโตมัน ที่นี่ได้ถูกเปลี่ยนเป็นจัตุรัสใจกลางเมือง และเปลี่ยนชื่อเป็น At Meydani
เสาโอเบลิสก์ 3 ต้น ยังคงเหลือให้เห็นอยู่ และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์
- Obelisk of Theodosius เสาโอเบลิสก์แห่งเธโอโดเซียส เสาแกรนิตสีชมพูมีอายุมากกว่า 3,500 ปี ถูกนำมาจากวิหารลักซอร์ ประเทศอิยิปต์ ในปี ค.ศ. 390 โดยคำสั่งของกษัตริย์เธโอโดเซียส ความสูงเดิมของเสานี้ 30 เมตร จึงเป็นอุปสรรคในการขนส่ง ได้มีการตัดเสาให้สั้นลงเหลือเพียง 19 เมตร และนำมาตั้งไว้บนฐานหินอ่อนที่มีรูปสลักเรื่องราวเกี่ยวกับกษัตริย์เธโอโดเซียส
- Serpentine Column เสางูนี้เคยตั้งอยู่ที่วิหารเทพอพอลโล่ เมืองเดลฟี ประเทศกรีซ ก่อนจะมาที่นี่ ตามคำสั่งของของกษัตริย์คอนสแตนติน แต่เดิมเสาต้นนี้เป็นรูปงูพันกันไปมา ส่วนบนเป็นหัวงูทั้งสามและอ่างทองคำ แต่ในช่วงปี 1,700 ได้ถูกทำลาย และอ่างทองคำก็ถูกขโมย เหลือไว้แต่เสาอย่างที่เห็น ต่อมามีการค้นพบหัวงู 1 หัว และปัจจุบันเก็บไว้ที่ Istanbul Archaeology Musuem โดยเสาต้นนี้ถือเป็นเสาแบบกรีกที่เก่าแก่ที่สุดในอิสตันบูล
- Column of Constantine VII เสาแห่งกษัตริย์คอนสแตนตินที่7 เสานี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 7 แห่งไบเซนไทม์ เดิมเป็นเสาบรอนซ์ทั้งต้น แต่ในช่วงสงครามครูเสดได้ถูกข้าศึกหลอมเอาบรอนซ์ไปจนหมด เหลือไว้แต่โครงสร้างที่เป็นเสาอิฐและปูน หลังจากนั้นคนเรียกเสานี้ว่า เสาอิฐ หรือ Wall Obelisk
จากลาน Hippodrome ที่เราเดินชมเสาอยู่ Blue Mosque จะอยู่ด้านขวา ลาเล่ ไกด์ท้องถิ่น บอกว่า Blue Mosque ปิดซ่อม เราเลยไม่ได้เข้าไป อีกแล้วหนา Halem ก็ซ่อม Blue Mosque ก็ซ่อม ที่เสียดายมากว่ามาถึงถิ่นแล้วไม่ได้ชม
เสียใจ... แถม บอลลุนก็ไม่ได้ขึ้นที่ Cappadocia รู้แบบนี้นะ ไม่มาหรอกตุรกี นั่งเครื่องมาตั้งไกล
Blue Mosque หรือ Sultan Ahmet Mosque มัสยิดสุลต่านอาห์เหม็ดสร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1609 -1616 โดยสุลต่านอาห์เหม็ดที่ 1 สุลต่านหนุ่มวัย 19 ปี ที่ต้องการประกาศให้โลกรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรออตโดตมัน และรับสั่งให้สร้างประจันหน้ากับอายาโซเฟีย อดีตโบสถ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของอาณาจักรไบเซนไทน์ ปัจจุบันมัสยิดนี้ครองตำแหน่งมัสยึดที่ใหญ่ที่สุดในตุรกี และเป็นมัสยึดทีมีหอสวด (Minaret) จำนวนถึง 6 หอ ซึ่งเท่ากับเท่ากับมัสยึดอัลฮะรอม แห่งนครเมกะ ท้ายที่สุดมัสยึดอัลฮะรอม ได้สร้างหอสวดเพิ่มเป็น 7 หอ และปัจจุบัน มี 9 หอสวด
สำหรับชื่อ Blue Mosque ของมัสยึดแห่งนี้มาจากสีของกระเบื้องอิชนิค สีน้ำเงิน(IZnik Tiles) จำนวนกว่า 20,000 แผ่นที่ใช้ประดับตกแต่งภายในตัวอาคาร ออกแบบเป็นดอกทิวลิปที่แตกต่างกันถึง 50 แบบ กระเบื้องชั้นล่างจะเป็นสไตล์ดั่งเดิม ขณะที่ชั้นบนออกแบบเป็นลวดลายดอกไม้ ผลไม้และต้นไซเปรส โดยช่างกระเบื้องชื่อดัง คาช้าน ฮาชิ (Kasap Haci) และ บาริส เอฟเฟินดิ (Baris Efendi) จากเมือง เอวาโนส (Avanos) ควบคุมการสร้าง
Rrin Rrin
FB : Rrin Rrin IG : rrinrrinlee
|